ค่าขนส่งเข้าเป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นเมื่อสินค้าหรือวัตถุดิบถูกนำเข้ามายังสถานที่หรือธุรกิจหนึ่งๆ ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนทั้งหมดของการผลิตหรือการขายสินค้านั้นๆ รวมถึงมีผลต่อราคาขายของสินค้าด้วย เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนในการผลิตหรือการบริการ การคำนวณค่าขนส่งเข้ามักจะคำนึงถึงต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าจ้างพนักงานที่ดูแลการนำเข้าสินค้า ค่าเช่าพื้นที่สำหรับการจัดเก็บสินค้า ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมสินค้า เช่น ภาษีนำเข้า และค่าธรรมเนียมอื่นๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ หรือระบบขนส่งอื่นๆ ตามที่เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและเส้นทางการขนส่ง การคำนวณค่าขนส่งเข้าเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนธุรกิจและการกำหนดราคาขายสินค้าในตลาดแต่ละแห่ง โดยทั่วไปแล้วค่าขนส่งเข้ามักจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเมื่อมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศหรือจากที่ไกลในประเทศ ทำให้ต้องพิจารณาในการวางแผนการจัดเก็บสินค้าและการจัดส่งอย่างเหมาะสมเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดและเพิ่มกำไรให้มากที่สุดที่เป็นไปได้ การจัดการค่าขนส่งเข้าอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญในธุรกิจที่มีการนำเข้าสินค้าในปริมาณมากๆ หรือมีการใช้สินค้านำเข้าเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งเข้าจะช่วยเพิ่มกำไรและความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจในการเลือกทางเลือกในการขนส่งนั้นควรพิจารณาถึงประสิทธิภาพของการจัดส่งทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายโดยรวม
ตัวอย่างการคำนวณค่าขนส่งเข้าสามารถอธิบายได้ดังนี้
กำหนดให้ธุรกิจหนึ่งต้องการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศ A เข้ามาใช้ในการผลิตสินค้า โดยมีข้อมูลดังนี้
- ค่าสินค้า 10,000 บาท
- ค่าภาษีนำเข้า 2,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมการนำเข้า 500 บาท
- ค่าขนส่งทางทะเล 1,500 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าอื่นๆ (เช่น ค่าใช้จ่ายในการทำเอกสาร, ค่าจ้างพนักงาน) 1,000 บาท
ดังนั้น ค่าขนส่งเข้าทั้งหมดจะเท่ากับผลรวมของทุกค่าในรายการดังกล่าว ดังนี้
ค่าขนส่งเข้า = ค่าภาษีนำเข้า + ค่าธรรมเนียมการนำเข้า + ค่าขนส่งทางทะเล + ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าอื่นๆ
ค่าขนส่งเข้า = 2,000 + 500 + 1,500 + 1,000 = 5,000 บาท
ดังนั้น ค่าขนส่งเข้าสำหรับการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศ A เข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าจะเท่ากับ 5,000 บาท.