รับทำบัญชี.COM | 10 อันดับ e-commerce ในไทยมี 4 ประเภทมีอะไร

e-commerce platform มีอะไรบ้าง

มีหลายแพลตฟอร์ม e-commerce ที่ใช้ในการสร้างและดำเนินธุรกิจออนไลน์ ตัวอย่างบางส่วนได้แก่

1. Shopify แพลตฟอร์ม e-commerce ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพื่อธุรกิจทุกขนาด มีระบบที่ใช้งานง่ายและมีร้านค้าออนไลน์ที่สามารถปรับแต่งได้มาก รวมถึงการบริหารจัดการคำสั่งซื้อและการจัดการสินค้า

2. WooCommerce เป็นปลั๊กอินของ WordPress ที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ WordPress ให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์ มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งและการเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ

3. Magento เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่ให้ความยืดหยุ่นและสูงระดับสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ มีความสามารถในการปรับแต่งและการจัดการสินค้ามาก

4. BigCommerce แพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับธุรกิจเติบโตที่ต้องการความยืดหยุ่น มีฟีเจอร์และเครื่องมือที่ช่วยในการเริ่มต้นและการส่งออกสินค้า

5. Wix eCommerce แพลตฟอร์มการสร้างเว็บไซต์ที่มีฟีเจอร์ e-commerce ในตัว มีเครื่องมือในการสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามและใช้งานง่าย

6. Square Online Store เครื่องมือจาก Square ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างร้านค้าออนไลน์และรับการชำระเงินได้

7. PrestaShop แพลตฟอร์มฟรีและเปิดตัวเพื่อธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง มีการปรับแต่งและเครื่องมือการตลาดมากมาย

8. OpenCart แพลตฟอร์มฟรีและเปิดตัวที่มีการจัดการสินค้าและคำสั่งซื้ออย่างมืออาชีพ

9. Weebly eCommerce แพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างร้านค้าออนไลน์ง่ายๆ ผ่านเครื่องมือที่ใช้งานง่าย

10. Squarespace Commerce แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่มีฟีเจอร์ e-commerce ในตัว เหมาะสำหรับธุรกิจในการโฆษณาศิลปะและดีไซน์

11. Volusion แพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีระบบจัดการคำสั่งซื้อและสินค้า พร้อมเครื่องมือสำหรับการตลาด

12. 3dcart แพลตฟอร์ม e-commerce ที่ให้ความสามารถในการปรับแต่งและการจัดการคำสั่งซื้ออย่างละเอียด

13. Ecwid เครื่องมือ e-commerce ที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างร้านค้าออนไลน์และเพิ่มร้านค้าไปยังเว็บไซต์เดิม

14. Shift4Shop แพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการปรับแต่งและการจัดการคำสั่งซื้ออย่างละเอียด

15. X-Cart แพลตฟอร์ม e-commerce ที่ให้ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับแต่ง

คำอธิบายเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ ของแพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีอยู่ในตลาด แต่ละแพลตฟอร์มมีคุณสมบัติและข้อได้เปรียบที่แตกต่างกัน การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณต้องพิจารณาความต้องการและวัตถุประสงค์ของธุรกิจของคุณด้วย

platform e-commerce ในไทย

นี่คือบางตัวอย่างของแพลตฟอร์ม e-commerce ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย

1. WooCommerce เป็นปลั๊กอินของ WordPress ที่ช่วยให้คุณสร้างร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ WordPress มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งและใช้งานง่าย โดยคุณต้องใช้โฮสติ้งและเข้าระบบเวิร์ดเพรสเพื่อใช้ WooCommerce

2. Shopee เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่ได้รับความนิยมมากในไทย มีระบบที่ใช้งานง่ายและมีคุณลักษณะที่ช่วยในการขายสินค้าออนไลน์

3. Lazada เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce อีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมในไทย มีจำหน่ายหลายประเภทสินค้าต่าง ๆ และมีฟีเจอร์ในการจัดการร้านค้าออนไลน์

4. iTrueMart เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีการจัดจำหน่ายสินค้าทั่วไปและสินค้าชั้นนำ มีความสำคัญต่อคุณภาพสินค้าและบริการ

5. Advice Online เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เน้นการจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับเครื่องสำอางและความงาม

6. Tarad.com เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีความเชื่อมั่นในการจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์มาอย่างยาวนาน

7. Weloveshopping เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เน้นร้านค้าแบบออนไลน์ที่สามารถขายสินค้าของตนเองได้

8. PowerBuy เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เน้นการจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์เทคโนโลยี

9. Central Online เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเซ็นทรัล มีการจำหน่ายสินค้าทั่วไปและสินค้าชั้นนำ

10. HomePro Online เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เน้นการจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ภายใน

11. JD Central เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เป็นส่วนหนึ่งของ JD.com มีการจำหน่ายสินค้าทั่วไปและสินค้าชั้นนำ

12. Pomelo Fashion เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เน้นการจำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นและแฟชั่นสินค้าอื่น ๆ

13. Amarin Brand Sale เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีการจัดขายสินค้าแบรนด์ชั้นนำ

14. Pantip Market เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เป็นส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ Pantip มีการจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย

15. ThaiWristbands เป็นแพลตฟอร์ม e-commerce ที่มีการจัดจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ยี่ห้อผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ยา

คำแนะนำคือให้คุณศึกษาและทดลองใช้แต่ละแพลตฟอร์มเพื่อดูว่าค่านิยมและคุณลักษณะของแต่ละแพลตฟอร์มเข้ากับธุรกิจของคุณอย่างไร นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่ายและบริการที่เกี่ยวข้องด้วย

e-commerce คือ

E-commerce (Electronic Commerce) คือกระบวนการซื้อขายสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ตหรือแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ซึ่งการทำธุรกิจแบบ E-commerce รวมถึงการเปิดร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์การจำหน่ายสินค้าและบริการ แพลตฟอร์มการชำระเงินออนไลน์ การจัดส่งสินค้าและบริการหลังการขาย และกิจกรรมการตลาดแบบออนไลน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายผ่านทางอินเทอร์เน็ต

E-commerce ช่วยทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้นทั้งในและนอกพื้นที่ที่เข้าถึงได้ มีความสะดวกสบายในการทำธุรกิจทั้งในเรื่องการซื้อขาย การชำระเงิน และการจัดส่งสินค้า นอกจากนี้ยังสร้างโอกาสในการตลาดและโปรโมตสินค้าให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคดิจิทัลที่เรามีในปัจจุบัน

e-commerce มี 4 ประเภท คือ

E-commerce มี 4 ประเภทหลัก ได้แก่

1. B2C (Business-to-Consumer) เป็นประเภทของ E-commerce ที่เกิดขึ้นเมื่อธุรกิจขายสินค้าหรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์ขายเสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือร้านค้าอาหารออนไลน์

2. B2B (Business-to-Business) เป็นประเภทที่ระบบการซื้อขายเกิดขึ้นระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจสามารถซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายอื่น ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น การซื้อเครื่องจักรหรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรม

3. C2C (Consumer-to-Consumer) เป็นประเภทที่ระบบการซื้อขายเกิดขึ้นระหว่างบุคคลทั่วไป บุคคลทั่วไปสามารถขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้ใช้งานอื่น ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์การขายของมือสอง

4. C2B (Consumer-to-Business) เป็นประเภทที่ผู้บริโภคขายสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจ ส่วนใหญ่เกิดในกรณีที่บุคคลที่มีความสามารถหรือความเชี่ยวชาญในสาขางานเฉพาะหน้า ให้บริการหรือผลิตสินค้าให้กับธุรกิจ เช่น การเขียนบทความหรือการออกแบบกราฟิก

การแบ่งประเภทของ E-commerce ช่วยให้เราเข้าใจลักษณะการทำธุรกิจและประเภทของกลุ่มเป้าหมายที่เราจะเน้นการตลาดและการขายของของเรา

รับทำบัญชี
โทร.081-931-8341 (คุณจ๋า)