เปิดบริษัทใหม่ต้องทําบัญชีอะไรบ้าง 11 วิธี เป้าหมายรายได้?

เปิดบริษัทใหม่ ต้องทําบัญชีอะไรบ้าง

เมื่อคุณต้องการเปิดบริษัทใหม่ การทำบัญชีเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรดูแลให้เรียบร้อยเพื่อให้ธุรกิจของคุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ ตามด้านล่างนี้คือบัญชีที่คุณควรพิจารณาเมื่อต้องการเปิดบริษัทใหม่

  1. บัญชีเงินสด (Cash Account) เริ่มต้นโดยบันทึกรายการเงินสดที่คุณนำมาใช้เพื่อเริ่มธุรกิจ เช่น เงินสดที่คุณนำมาจากการนำทุนเข้าหรือการกู้ยืมเพื่อใช้ในธุรกิจ.
  2. บัญชีลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable Account) บันทึกรายการเงินที่คุณค้างรับจากลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณ.
  3. บัญชีเจ้าหนี้การค้า (Accounts Payable Account) บันทึกรายการเงินที่คุณค้างจ่ายให้กับซัพพลายเออร์หรือผู้ให้บริการที่คุณได้รับสินค้าหรือบริการจากนั้น.
  4. บัญชีสินค้าคงเหลือ (Inventory Account) บันทึกรายการสินค้าที่คุณมีคงเหลือในสต็อก เป็นส่วนสำคัญในธุรกิจซื้อขายสินค้า.
  5. บัญชีค่าใช้จ่าย (Expense Account) บันทึกรายการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าจ้างงาน ค่าโฆษณา และอื่น ๆ.
  6. บัญชีรายได้ (Revenue Account) บันทึกรายการรายได้ที่คุณได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการ.
  7. สมุดรายวัน (General Journal) บันทึกรายละเอียดของทุกธุรกรรมการเงินที่เกิดขึ้นในธุรกิจ เช่น การซื้อขาย การรับเงิน การจ่ายเงิน และกิจกรรมอื่น ๆ.
  8. สมุดบัญชี (General Ledger) รวบรวมข้อมูลจากสมุดรายวันและจัดเรียงตามบัญชีต่าง ๆ เพื่อบันทึกรายการบัญชีทั้งหมด.
  9. งบทดลอง (Trial Balance) สรุปยอดเครดิตและเดบิตของทุกบัญชีเพื่อตรวจสอบว่ายอดเดบิตและเครดิตเท่ากัน.
  10. งบการเงิน (Financial Statements) จัดทำเพื่อรายงานสถานะการเงินของบริษัท รวมถึงรายงานกำไรขาดทุน งบดุล และงบการเงินอื่น ๆ.
  11. รายงานรายปี (Year-End Financial Reports) สรุปผลการเงินและกิจกรรมทางการเงินของบริษัทในรอบปี.

ควรทราบว่าการทำบัญชีสามารถซับซ้อนขึ้นตามลักษณะและขนาดของธุรกิจ คุณอาจต้องมีบัญชีเพิ่มเติมหรือรายงานที่เฉพาะเจาะจงในการบันทึกและรายงานกิจกรรมของธุรกิจของคุณ. แนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการบัญชีเพื่อให้คำแนะนำที่เหมาะสมต่อบริษัทของคุณ.

ตัวอย่าง การทำบัญชีบริษัท

นี่คือตัวอย่างการทำบัญชีของบริษัทเล็กที่ดำเนินธุรกิจซื้อขายสินค้า

บริษัท ABC Trading Co., Ltd. – ตัวอย่างการทำบัญชี

  1. บัญชีเงินสด (Cash Account)
    • วันที่ 1 มกราคม 2023 เริ่มต้นมีเงินสด 100,000 บาท
  2. บัญชีลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable Account)
    • วันที่ 5 มกราคม 2023 ขายสินค้าให้ลูกค้า A ราคา 10,000 บาท (ค้างรับ)
    • วันที่ 10 มกราคม 2023 ขายสินค้าให้ลูกค้า B ราคา 15,000 บาท (ค้างรับ)
  3. บัญชีเจ้าหนี้การค้า (Accounts Payable Account)
    • วันที่ 20 มกราคม 2023 ซื้อสินค้าจาก Supplier X ราคา 8,000 บาท (ค้างจ่าย)
    • วันที่ 25 มกราคม 2023 ซื้อสินค้าจาก Supplier Y ราคา 5,000 บาท (ค้างจ่าย)
  4. บัญชีสินค้าคงเหลือ (Inventory Account)
    • วันที่ 1 มกราคม 2023 ยอดสินค้าคงเหลือ 50,000 บาท
    • วันที่ 31 มกราคม 2023 ยอดสินค้าคงเหลือ 45,000 บาท
  5. บัญชีค่าใช้จ่าย (Expense Account)
    • วันที่ 15 มกราคม 2023 จ่ายค่าเช่าโรงเรียน 2,000 บาท
    • วันที่ 28 มกราคม 2023 จ่ายค่าน้ำประปา 500 บาท
  6. บัญชีรายได้ (Revenue Account)
    • วันที่ 5 มกราคม 2023 รับรายได้จากลูกค้า A 10,000 บาท
    • วันที่ 10 มกราคม 2023 รับรายได้จากลูกค้า B 15,000 บาท
  7. สมุดรายวัน (General Journal)
    • วันที่ 5 มกราคม 2023 บันทึกการขายสินค้าให้ลูกค้า A ราคา 10,000 บาท
    • วันที่ 10 มกราคม 2023 บันทึกการขายสินค้าให้ลูกค้า B ราคา 15,000 บาท
    • วันที่ 20 มกราคม 2023 บันทึกการซื้อสินค้าจาก Supplier X ราคา 8,000 บาท
    • วันที่ 25 มกราคม 2023 บันทึกการซื้อสินค้าจาก Supplier Y ราคา 5,000 บาท
  8. สมุดบัญชี (General Ledger)
    • บัญชีเงินสด 100,000 (ค่าเริ่มต้น) + 25,000 (รับรายได้) – 2,500 (จ่ายค่าน้ำประปา) = 122,500 บาท
    • บัญชีลูกหนี้การค้า 0 (ค่าเริ่มต้น) + 10,000 (ค้างรับ) + 15,000 (ค้างรับ) = 25,000 บาท
    • บัญชีเจ้าหนี้การค้า 0 (ค่าเริ่มต้น) + 8,000 (ค้างจ่าย) + 5,000 (ค้างจ่าย) = 13,000 บาท
    • บัญชีสินค้าคงเหลือ 50,000 (ค่าเริ่มต้น) – 5,000 (ขาย) = 45,000 บาท
    • บัญชีค่าใช้จ่าย 0 (ค่าเริ่มต้น) + 2,000 (ค่าเช่าโรงเรียน) + 500 (ค่าน้ำประปา) = 2,500 บาท
    • บัญชีรายได้ 0 (ค่าเริ่มต้น) + 10,000 (รับรายได้) + 15,000 (รับรายได้) = 25,000 บาท
  9. งบทดลอง (Trial Balance)
    • ยอดเครดิตรวม = 25,000 + 13,000 + 45,000 + 2,500 = 85,500 บาท
    • ยอดเดบิตรวม = 122,500 + 25,000 = 147,500 บาท

ตัวอย่างการทำบัญชีข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่างเบื้องต้นเท่านั้น การทำบัญชีจริงของบริษัทอาจซับซ้อนมากขึ้นโดยขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของธุรกิจ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการบัญชีเป็นสิ่งสำคัญเมื่อคุณต้องการเริ่มธุรกิจและต้องทำบัญชีอย่างถูกต้องและเป็นระเบียบ.

การบันทึกบัญชี ตอน เปิดบริษัท

การบันทึกบัญชีเมื่อเปิดบริษัทเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะเริ่มทำให้ระบบบัญชีของคุณเป็นระเบียบและถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น. นี่คือขั้นตอนการบันทึกบัญชีเมื่อเปิดบริษัท

  1. สร้างแผนบัญชี กำหนดรายการบัญชีที่จำเป็นตามลักษณะของธุรกิจของคุณ เช่น บัญชีเงินสด, บัญชีลูกหนี้การค้า, บัญชีเจ้าหนี้การค้า, บัญชีสินค้าคงเหลือ, บัญชีค่าใช้จ่าย, บัญชีรายได้, และอื่น ๆ.
  2. เปิดบัญชี เปิดบัญชีในสมุดบัญชีสำหรับแต่ละบัญชีที่คุณต้องการ ระบุชื่อบัญชีและรหัสบัญชีที่เป็นไปตามแผนบัญชีของคุณ.
  3. บันทึกรายละเอียดธุรกรรม เมื่อคุณมีธุรกรรมการเงิน เช่น การรับเงิน, การจ่ายเงิน, การขายสินค้า หรือการซื้อสินค้า ให้บันทึกรายละเอียดของธุรกรรมนั้นในสมุดรายวัน.
  4. บันทึกสมุดรายวัน บันทึกข้อมูลที่คุณบันทึกในสมุดรายวันลงในสมุดบัญชีสมุดต่าง ๆ ตามรหัสบัญชีที่เปิดไว้.
  5. สรุปยอดบัญชี สรุปยอดเดบิตและเครดิตของแต่ละบัญชีจากสมุดบัญชีในสมุดบัญชีตามที่เกิดขึ้น.
  6. ทำงบทดลอง (Trial Balance) สรุปยอดเครดิตและเดบิตของทุกบัญชีเพื่อตรวจสอบว่ายอดเดบิตและเครดิตเท่ากัน.
  7. ทำงบการเงิน (Financial Statements) จัดทำงบการเงินเพื่อรายงานสถานะการเงินของบริษัท เช่น งบดุล, งบกำไรขาดทุน, และรายงานการเงินอื่น ๆ.
  8. บันทึกรายละเอียดเพิ่มเติม ในขั้นตอนแรก เราให้บันทึกรายละเอียดพื้นฐานของธุรกรรมเท่านั้น แต่เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโตคุณอาจต้องบันทึกรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น การจัดทำใบแจ้งหนี้ ใบเสนอราคา รายงานการเบิกจ่าย และอื่น ๆ.
  9. ตรวจสอบความถูกต้อง ตรวจสอบรายละเอียดการบันทึกบัญชีเพื่อตระหนักถึงความถูกต้องและเป็นระเบียบของข้อมูล.
  10. ประกาศการเงิน ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อจัดทำรายงานการเงินอย่างถูกต้องสำหรับต้นปีทางการเงิน.

การทำบัญชีเมื่อเปิดบริษัทเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และอาจต้องการความรอบคอบ คุณอาจต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการบัญชีช่วยคุณในขั้นตอนเริ่มต้นเพื่อให้แน่ใจว่าระบบบัญชีของคุณถูกต้องและเป็นระเบียบอย่างเหมาะสม.

บริษัทจำกัด ต้อง ทำ บัญชี อะไร บ้าง

บริษัทจำกัดต้องทำบัญชีหลายรายการเพื่อบันทึกและรายงานกิจกรรมการเงินของบริษัท ซึ่งรายการเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายหมวดหลัก ตามนี้คือรายการบัญชีหลักที่บริษัทจำกัดต้องทำ

  1. บัญชีทางการเงิน
    • บัญชีเงินสด
    • บัญชีธนาคาร
    • บัญชีลูกหนี้การค้า
    • บัญชีเจ้าหนี้การค้า
    • บัญชีสินค้าคงเหลือ
    • บัญชีเงินลงทุน
    • บัญชีหนี้สินต่าง ๆ
    • บัญชีหนี้จากภาษี
    • บัญชีรายได้
  2. บัญชีค่าใช้จ่าย
    • บัญชีค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท
    • บัญชีค่าใช้จ่ายทั่วไป (ค่าเช่า, ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า เป็นต้น)
    • บัญชีค่าใช้จ่ายในการผลิตและจำหน่ายสินค้า
    • บัญชีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการตลาด
    • บัญชีค่าใช้จ่ายในการจ้างงานและเงินเดือน
  3. บัญชีส่วนของเจ้าของ
    • บัญชีเงินทุน
    • บัญชีส่วนของผู้ถือหุ้น
    • บัญชีส่วนของผู้ร่วมบริหาร
    • บัญชีเงินที่ลงทุนในบริษัท
  4. บัญชีรายงานผล
    • บัญชีกำไรขาดทุน
    • บัญชีประกันรายได้
    • บัญชีส่วนแบ่งผลกำไร
    • บัญชีส่วนแบ่งผลขาดทุน
  5. บัญชีภาษี
    • บัญชีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
    • บัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
    • บัญชีภาษีเงินได้นิติบุคคล
    • บัญชีภาษีหัก ณ ที่จ่าย
    • บัญชีภาษีเงินได้ต่างประเทศ
  6. บัญชีรายการอื่น ๆ
    • บัญชีสมุดรายวัน (General Journal)
    • บัญชีสมุดบัญชี (General Ledger)
    • บัญชีสมุดบัญชีย่อย (Subsidiary Ledger)
    • บัญชีสรุปยอด (Trial Balance)
    • รายงานการเงิน (Financial Statements)
    • งบทดลอง (Trial Balance)

บริษัทจำกัดจะต้องทำบัญชีเหล่านี้เพื่อระบุและรายงานกิจกรรมทางการเงินของบริษัทให้แก่เจ้าของกิจการ นักลงทุน องค์กรต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่?

คลิกที่ดาวเพื่อให้คะแนน!

เฉลี่ยได้กี่คะแนน 5 / 5. จำนวนโหวต: 1

ยังไม่มีคะแนนโหวต! เป็นคนแรกที่ให้คะแนนโพสต์นี้

จำนวนคอมเมนต์ของโพสต์ ID 238810: 120