สวัสดีค่ะเพื่อนๆ นักบัญชี ตามกฏหมายแล้วจะต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีอายุกรมธรรม์สิบปีขึ้นไป และเป็นการทำ
ประกันชีวิตกับบริษัทที่ประกอบกิจการในประเทศ ซึ่งเราสรุปสาระสำคัญตามกฎหมายได้ ดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีการรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนในระหว่างอายุสัญญากรมธรรม์ หากได้รับเงินคืนทุกปี เงินคืนจะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของ
เบี้ยประกันชีวิตรายปีที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็น
ค่าเบี้ยประกัน หรือ หากกรณีได้รับเงินคืนตามที่บริษัทกำหนดเป็นช่วงระยะเวลา เช่น 2 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี เงินคืนในแต่ละช่วงจะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมที่ผู้มีเงินได้จ่ายในแต่ละช่วงระยะเวลาที่มีการจ่ายเงินคืน หรือ หากได้รับเงินคืนที่ต่างไปจากกรณีข้างต้น ผลรวมของเงินคืนสะสมตั้งแต่ ปีแรกถึงปีที่มีการจ่ายเงินคืนต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมทั้งหมดตั้งแต่ปีแรกถึงปีที่มีการจ่ายเบี้ยประกัน
2. กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบกำหนด ช่วงระยะเวลาที่ให้ความคุ้มครองชีวิตเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการรับเงินคืนหรือทุนประกันและกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ไม่มีการจ่ายเงินคืนระหว่างปี แต่จะมีการจ่ายคืนให้ผู้ทำประกันเมื่อครบอายุสัญญากรมธรรม์ ค่าเบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับกรมธรรม์ดังกล่าวสามารถหักค่าลดหย่อนและยกเว้นภาษีได้
3. กรมธรรม์ประกันชีวิตที่ขยายความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม เช่น ค่ารักษาพยาบาล ในโรงพยาบาล ค่าชดเชยรายวัน ค่าชดเชยรายได้พิเศษกรณีป่วยโรคร้ายแรง กรณีอุบัติเหตุ กรณีทุพพลภาพหรือกรณีอื่นๆ เป็นต้น
4. ผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า มีการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ขยายความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติมต้อง ระบุจำนวนเบี้ยประกันชีวิตและเบี้ยประกันภัย ที่จ่ายสำหรับความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติมแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปคำนวณเพื่อการลดหย่อนและยกเว้นภาษีได้ทั้งจำนวน
5. กรณีผู้มีเงินได้ ได้ทำการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว ต่อมาหากไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้างต้น ผู้มีเงินได้หมดสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ และต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับปีภาษีที่ได้นำเงิน
ค่าเบี้ยประกันชีวิตไปหักออกจาก เงินได้เพื่อยกเว้นภาษีพร้อมเงินเพิ่ม พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ