รวมสูตรบัญชี
สูตรบัญชี คือ
สูตรบัญชีเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลทางการเงินของธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้สามารถวิเคราะห์และประเมินผลกำไรขาดทุน สภาวะการเงิน และประสิทธิภาพทางการเงินได้อย่างถูกต้องแม่นยำ นอกจากนี้ยังช่วยในการรายงานผลการเงินต่าง ๆ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เช่น ผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุน หรือกรมสรรพากร
สูตรบัญชีที่ใช้ในธุรกิจหรือองค์กรสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทได้ โดยสูตรที่สำคัญและพื้นฐานที่สุดคือ
-
สูตรบัญชีในสมุดรายวัน (Journal Entry) สูตรนี้ใช้ในการบันทึกธุรกรรมทางการเงินแต่ละรายการ โดยประกอบด้วยบัญชีเดบิต (Debit) และบัญชีเครดิต (Credit) ที่เกี่ยวข้องกับรายการนั้น ๆ
-
สูตรบัญชีทดแทน (T-Account) เป็นรูปแบบที่ใช้ในการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบัญชีเดบิตและบัญชีเครดิตของธุรกรรมแต่ละรายการ ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบสมดุลของบัญชีได้
-
สูตรบัญชีรายเดือน (Monthly Account) เป็นรูปแบบที่ใช้ในการสรุปรายรับรายจ่ายและค่าใช้จ่ายของธุรกิจหรือองค์กรในแต่ละเดือน โดยรวมข้อมูลจากสมุดรายวันเข้าด้วยกัน
-
สูตรบัญชีงบการเงิน (Financial Statements) เป็นรูปแบบที่ใช้ในการสร้างรายงานการเงินสำคัญ เช่น งบทดลอง (Trial Balance) งบกำไรขาดทุน (Income Statement) งบสภาวะการเงิน (Balance Sheet) และงบเงินสด (Cash Flow Statement)
-
สูตรบัญชีประจำปี (Year-End Closing) เป็นรูปแบบที่ใช้ในการปิดบัญชีประจำปีทางการเงิน ซึ่งรวมถึงการยกยอดบัญชีทั้งหมดและการสรุปผลกำไรขาดทุน
โดยสูตรบัญชีเหล่านี้จะมีรายละเอียดและลำดับขั้นตอนที่แตกต่างกันไปในแต่ละธุรกิจหรือองค์กร และอาจมีการปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการและเงื่อนไขของธุรกิจเฉพาะ
สูตรบัญชี 5 หมวด
สูตรบัญชีสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหลัก 5 หมวดดังนี้
-
หมวดบัญชีสินทรัพย์ (Asset Accounts)
- บัญชีเงินสดและเทียบเท่าเงินสด (Cash and Cash Equivalents)
- บัญชีเจ้าหนี้ (Accounts Receivable)
- บัญชีสินค้าคงเหลือ (Inventory)
- บัญชีทรัพย์ถาวร (Fixed Assets) เช่น อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ อุปกรณ์
- บัญชีลูกหนี้สิ้นเชิง (Long-term Receivables)
- บัญชีลงทุน (Investments)
- บัญชีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า (Prepaid Expenses)
-
หมวดบัญชีหนี้สิน (Liability Accounts)
- บัญชีเจ้าหนี้ (Accounts Payable)
- บัญชีเงินกู้ (Loans Payable)
- บัญชีส่วนแบ่งผลกำไร (Retained Earnings)
- บัญชีค่าใช้จ่ายค้างจ่าย (Accrued Expenses)
- บัญชีหนี้สิ้นเชิง (Long-term Liabilities)
-
หมวดบัญชีส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity Accounts)
- บัญชีทุนเรือนหุ้น (Capital Stock)
- บัญชีเงินสะสม (Retained Earnings)
- บัญชีเงินปันผล (Dividends)
-
หมวดบัญชีรายได้ (Revenue Accounts)
- บัญชีขายสินค้า (Sales Revenue)
- บัญชีบริการ (Service Revenue)
- บัญชีดอกเบี้ยรับ (Interest Income)
-
หมวดบัญชีค่าใช้จ่าย (Expense Accounts)
- บัญชีค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้า (Cost of Goods Sold)
- บัญชีค่าใช้จ่ายในการให้บริการ (Operating Expenses)
- บัญชีค่าใช้จ่ายในการขายและการตลาด (Selling and Marketing Expenses)
- บัญชีค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Administrative Expenses)
- บัญชีดอกเบี้ยจ่าย (Interest Expense)
โดยสูตรบัญชีในแต่ละหมวดนี้จะมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีและประเภทรายการที่เกี่ยวข้องในแต่ละหมวด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดของธุรกิจหรือองค์กรที่ใช้สูตรบัญชีนี้ในการบันทึกและรายงานการเงินของตน.
สูตรบัญชีต้นทุน
สูตรบัญชีต้นทุนเป็นสูตรทางการเงินที่ใช้ในการบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจหรือองค์กรผลิตหรือให้บริการออกมา สูตรบัญชีต้นทุนประกอบด้วยหลักสองสูตรหลัก คือสูตรต้นทุนการผลิตสินค้า (Cost of Goods Sold) และสูตรต้นทุนการให้บริการ (Cost of Services).
-
สูตรต้นทุนการผลิตสินค้า (Cost of Goods Sold) สูตรนี้ใช้ในการคำนวณต้นทุนการผลิตและจำหน่ายสินค้า โดยสูตรมีรูปแบบดังนี้ ต้นทุนการผลิตสินค้า = ค่าวัตถุดิบที่ซื้อ + ค่าแรงงานตรงที่ใช้ในการผลิต + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า
-
สูตรต้นทุนการให้บริการ (Cost of Services) สูตรนี้ใช้ในการคำนวณต้นทุนการให้บริการต่าง ๆ โดยสูตรมีรูปแบบดังนี้ ต้นทุนการให้บริการ = ค่าใช้จ่ายในการให้บริการตรง + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ
สูตรบัญชีต้นทุนเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจหรือองค์กรสามารถวิเคราะห์ต้นทุนสินค้าหรือบริการของตนได้อย่างแม่นยำ และจะใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำงบการเงินต่าง ๆ เช่น งบกำไรขาดทุน (Income Statement) และงบสภาวะการเงิน (Balance Sheet) เพื่อประเมินผลกำไรขาดทุนและสภาพการเงินของธุรกิจหรือองค์กร
ขายสุทธิ สูตร
สูตรขายสุทธิ (Net Sales) เป็นสูตรทางการเงินที่ใช้ในการคำนวณยอดขายสุทธิหรือยอดขายหักส่วนลด ค่าคืนสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขาย สูตรมีรูปแบบดังนี้
ขายสุทธิ = ยอดขายรวม – ส่วนลดทางการขาย – ค่าคืนสินค้า – ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เมื่อนำยอดขายรวมมาลบด้วยส่วนลดทางการขาย ค่าคืนสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขาย จะได้ยอดขายสุทธิที่เกินค่าเสียหายและค่าใช้จ่าย เป็นยอดขายที่บริษัทหรือธุรกิจทำกำไรจากการขายสินค้าหรือบริการนั้นได้ สูตรนี้เป็นส่วนหนึ่งของงบกำไรขาดทุน (Income Statement) ที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลกำไรขาดทุนของธุรกิจหรือองค์กรในช่วงเวลาที่กำหนด
ซื้อสุทธิ สูตร
สูตรซื้อสุทธิ (Net Purchases) เป็นสูตรทางการเงินที่ใช้ในการคำนวณยอดซื้อสุทธิหรือยอดซื้อหักส่วนลดการซื้อ ค่าคืนสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ สูตรมีรูปแบบดังนี้
ซื้อสุทธิ = ยอดซื้อรวม – ส่วนลดการซื้อ – ค่าคืนสินค้า – ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
โดยนำยอดซื้อรวมมาลบด้วยส่วนลดการซื้อ ค่าคืนสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ จะได้ยอดซื้อสุทธิที่เป็นยอดซื้อที่บริษัทหรือธุรกิจได้จริงจากการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ สูตรนี้ช่วยในการวิเคราะห์ยอดซื้อที่จริงจากการซื้อในงบการเงิน และสามารถนำมาใช้ในการคำนวณต้นทุนการผลิตหรือต้นทุนการให้บริการในธุรกิจหรือองค์กร
ขายสุทธิ ตัวอย่าง
ของตัวอย่างสูตรขายสุทธิคือ
ขายสุทธิ = ยอดขายรวม – ส่วนลดทางการขาย – ค่าคืนสินค้า – ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เช่น สมมติว่าธุรกิจ ABC Company มียอดขายรวมทั้งหมดเป็น 500,000 บาท และมีส่วนลดทางการขายเป็น 20,000 บาท ค่าคืนสินค้าเป็น 10,000 บาท และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับการขายเป็น 5,000 บาท จะได้สูตรขายสุทธิดังนี้
ขายสุทธิ = 500,000 – 20,000 – 10,000 – 5,000 = 465,000 บาท
ดังนั้น ยอดขายสุทธิของ ABC Company ในรายการนี้จะเป็น 465,000 บาท
สูตรต้นทุนขาย
สูตรต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold) เป็นสูตรทางการเงินที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและจำหน่ายสินค้า สูตรนี้ช่วยในการวิเคราะห์ต้นทุนของสินค้าที่ถูกขายออกไป โดยมีรูปแบบของสูตรดังนี้
ต้นทุนขาย = ค่าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า + ค่าแรงงานตรงที่ใช้ในการผลิตสินค้า + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า
สูตรต้นทุนขายนี้นำรวมค่าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าแรงงานตรงที่ใช้ในการผลิตสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าเข้าด้วยกันเพื่อคำนวณต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าเหล่านี้
การคำนวณต้นทุนขายใช้ข้อมูลจากการบัญชีและการเก็บข้อมูลทางการเงิน โดยมักจะใช้ข้อมูลจากบัญชีเงินคงเหลือคุ้มครอง บัญชีรายการปรับปรุง และรายงานการผลิต เพื่อคำนวณต้นทุนขายของธุรกิจหรือองค์กร
สินค้าต้นงวด สูตร
สูตรสินค้าต้นงวด (Beginning Inventory) ใช้ในการคำนวณยอดสินค้าที่มีอยู่ในสต็อกหรือคลังสินค้าเมื่อเริ่มต้นงวดหรือรอบบัญชีใหม่ สูตรนี้มีรูปแบบดังนี้
สินค้าต้นงวด = ยอดสินค้าสิ้นงวดของงวดก่อนหน้า
สูตรนี้ใช้ในการนำยอดสินค้าสิ้นงวดของงวดก่อนหน้ามาเป็นยอดสินค้าต้นงวดในงวดปัจจุบัน ยอดสินค้าสิ้นงวดของงวดก่อนหน้านี้สามารถหาได้จากบัญชีเงินคงเหลือคุ้มครองหรือรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าในงวดก่อนหน้า.
สูตรนี้มีความสำคัญในการคำนวณต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold) และคำนวณกำไรขาดทุนของธุรกิจหรือองค์กรในช่วงรอบบัญชีหรืองวดบัญชีใหม่
สูตรหาทุน กําไร
สูตรหาทุน (Cost) และกำไร (Profit) ของสินค้าหรือบริการสามารถคำนวณได้โดยใช้สูตรต่อไปนี้
-
ทุน (Cost) ทุน = ต้นทุนของสินค้าหรือบริการ + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าหรือบริการ
สูตรนี้ใช้ในการคำนวณทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือให้บริการ โดยรวมถึงต้นทุนที่ใช้ในการผลิตหรือบริการเอง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการทำงาน ค่าใช้จ่ายในการจัดหาสินค้าหรือบริการ เป็นต้น
-
กำไร (Profit) กำไร = รายได้ – ทุน
สูตรนี้ใช้ในการคำนวณกำไรที่ได้จากการขายสินค้าหรือบริการ โดยลบทุนออกจากรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจากการขาย
สำหรับการคำนวณทุนและกำไรในธุรกิจหรือองค์กร จะต้องใช้ข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลจากบัญชีเงินคงเหลือคุ้มครอง รายงานการผลิต รายงานการขาย เพื่อทำการวิเคราะห์และคำนวณตามสูตรดังกล่าว
หากพิจารณาข้อมูลในงบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นรายงาน งบดุล (Balance Sheet) หรือ งบกำไรขาดทุน (Income statement) จะพบว่าทั้งสองรายงานประกอบด้วยข้อมูลทางบัญชีจำนวนมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้ใช้ประโยชน์จากงบการเงิน เช่น ผู้ประกอบการ / เจ้าของกิจการ นักลงทุน หรือคู่ค้าทางธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกข้อมูลที่ปรากฏในรายงานทางบัญชี เนื่องจากมีวิธีการอ่านงบการเงินที่ง่าย โดยการเข้าใจสูตรบัญชีที่สำคัญ
สูตรการบัญชี ที่ใช้บ่อยที่สุด เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำข้อมูลทางบัญชีไปวิเคราะห์ได้ง่ายยิ่งขึ้น จึง รวมสูดรบัญชี ดังนี้
1. สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนทุนของเจ้ากิจการ
สูตรดังกล่าวนี้เป็นสูตรพื้นฐานที่สำคัญในการอ่านหรือสร้างงบดุล(Balance Sheet) ที่ถูกต้อง โดยใช้เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างทางการเงินของกิจการว่า สินทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ เกิดจากเงินทุนของเจ้าของกิจการรวมจากการสร้างหนี้ เช่น การกู้ยืมธนาคาร เป็นจำนวนเท่าใด
ซึ่งหากส่วนทุนของเจ้าของกิจการมีค่าน้อยกว่าหนี้สิน ก็เป็นการบ่งบอกว่ากิจการดังกล่าวมีสภาพคล่องต่ำ โดยเราสามารถหามูลค่าของหนี้สินได้ด้วยการย้ายข้างสมการ เช่น หนี้สิน = สินทรัพย์ – ส่วนทุนของเจ้าของกิจการ เป็นต้น
2. กำไรสุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม
สูตรการคำนวณกำไรสุทธิ เป็นสูตรที่ใช้สำหรับงบกำไร/ขาดทุน(Income statement) ซึ่งกำไรสุทธิ สามารถคำนวณได้จากการนำรายได้รวมทั้งทางตรงและทางอ้อมของกิจการ นำมาหักลบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมด อันประกอบด้วยต้นทุนของสินค้า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกิจการทุกประเภท รวมทั้งภาษีจ่าย ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นกำไรสุทธิ
ซึ่งกำไรสุทธิ เป็นตัวเลขบ่งบอกความสามารถในการดำเนินกิจการและการควบคุมค่าใช้จ่าย จนก่อให้เกิดเป็นดอกผลของกิจการที่เกิดขึ้นในรอบปีหรือรอบไตรมาสนั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเป็น “ขาดทุนสุทธิ” ได้เช่นกัน
3. กำไรสะสมปลายปี = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย
สูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เป็นสูตรทางบัญชีเพื่อใช้จัดทำงบกำไรสะสม ซึ่งเป็นงบที่แสดงผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มกิจการจนถึงงวดบัญชีปัจจุบัน ว่ากิจการมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นเท่าใด หรือหากขาดทุนสุทธิหรือมีการจ่ายเงินปันผลก็จะทำให้กำไรสะสมปลายปีลดลง
ซึ่งสูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เกิดจากการนำกำไรสะสมจากปีก่อนหน้ามาบวกกับกำไรสุทธิในรอบบัญชีปัจจุบัน และนำไปหักออกจากเงินปันผลที่จ่ายให้กับนักลงทุน (หากมี) ก็จะได้เป็นกำไรสะสมที่แสดงอยู่ในบรรทัดหนึ่งของส่วนทุนของเจ้ากิจการในบัญชีงบดุล(Balance Sheet)
4. ส่วนทุนของเจ้ากิจการ = ทุนที่ชำระแล้ว + กำไรสะสมปลายปี
ส่วนทุนของเจ้ากิจการ เป็นรายงานข้อมูลทางบัญชีส่วนสุดท้ายของงบดุล(Balance Sheet) ซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงของส่วนทุนที่ชำระแล้วของกิจการ(ทั้งเงินทุนของเจ้าของกิจการและมูลค่าหุ้นในรูปแบบต่างๆกรณีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) และนำมารวมกับกำไรสะสมปลายปีที่ได้จากการคำนวณในข้อ 3 ก็จะได้เป็นส่วนทุนของเจ้าของกิจการ
ซึ่งหากนำไปเปรียบเทียบกับหนี้สินตามหลักสมการบัญชี สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนทุนของเจ้ากิจการ ก็สามารถพิจารณาได้ว่าสินทรัพย์ของกิจการที่เกิดขึ้นมาจากส่วนของหนี้สินหรือส่วนทุน ซึ่งส่งผลต่อสภาพคล่องของกิจการ
5. ค่าเสื่อมราคาแบบตรง = (มูลค่าสินทรัพย์ – ค่าซาก) / จำนวนปีที่ใช้งาน
เมื่อกิจการนำเงินทุนมาลงทุนในรูปของ สินทรัพย์ระยะยาว เช่น เครื่องจักร สินทรัพย์ดังกล่าวจะต้องถูกคิดค่าเสื่อม ตามหลักการทางบัญชีด้วยสมมติฐานที่ว่า สินทรัพย์จะเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลามากกว่าการใช้งาน และการเสื่อมสภาพนั้นจะเป็นไปในอัตราที่เท่ากันทุกปี
ดังนั้น วิธีการคิดค่าเสื่อมที่ง่ายที่สุดคือการคิดแบบตรง โดยใช้มูลสินทรัพย์หักออกจากราคาขายเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน (ราคาซาก) หารด้วยอายุที่คาดว่าจะใช้งาน ก็จะได้ค่าเสื่อมราคา / ปี นำไปคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่แสดงในงบกำไร/ขาดทุน(Income statement)
จากสูตรบัญชีทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าข้อมูลทางบัญชีที่ปรากฏในงบการเงินสามารถอ่าน และนำไปวิเคราะห์ได้ง่ายหากเราทราบถึงลำดับที่มาของตัวเลข ดังนั้นการมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับสูตรบัญชี จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับบุคคลทุกกลุ่มที่ต้องการใช้ประโยชน์จากงบการเงิน
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ
หนี้สิน = สินทรัพย์ – ส่วนของเจ้าของ
วัสดุสำนักงานใช้ไป = วัสดุสำนักงานในบัญชีก่อนปรับปรุง – วัสดุสำนักงานคงเหลือปลายงวด
ขายสุทธิ = ขาย – รับคืนสินค้า – ส่วนลดจ่าย
ซื้อสุทธิ = ซื้อ + ค่าขนส่งเข้า – ส่งคืนสินค้า – ส่วนลดรับ
ต้นทุนขาย = สินค้าคงเหลือต้นงวด + ซื้อสุทธิ – สินค้าคงเหลือปลายงวด
กำไรขั้นต้น = ขายสุทธิ – ต้นทุนขาย
กำไรสะสมปลายงวด = กำไรสะสมต้นงวด + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย
ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทุนหุ้นสามัญ + กำไรสะสมปลายงวด
ค่าใช้จ่ายรวม = รายได้รวม – กำไรสุทธิ
กำไรสุทธิ = รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม
สินค้าที่มีเพื่อขาย = สินค้าคงเหลือต้นงวด + ซื้อสุทธิ
กำไรสะสมปลายปี = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย
ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทุนหุ้นสามัญ + กำไรสะสมปลายปี
ทุนต้นปี = สินทรัพย์ต้นปี – หนี้สินต้นปี
ทุนปลายปี = สินทรัพย์ปลายปี – หนี้สินปลายปี
กำไรสุทธิ = ทุนปลายปี – ทุนต้นปี – ลงทุนเพิ่ม
สูตรหา กำไรสะสมปลายปี
กำไรสะสมปลายปี = กำไรสะสมต้นปี + กำไรสุทธิ – เงินปันผลจ่าย
สูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เป็นสูตรทางบัญชีเพื่อใช้จัดทำงบกำไรสะสม ซึ่งเป็นงบที่แสดงผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มกิจการจนถึงงวดบัญชีปัจจุบัน ว่ากิจการมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นเท่าใด หรือหากขาดทุนสุทธิหรือมีการจ่ายเงินปันผลก็จะทำให้กำไรสะสมปลายปีลดลง
ซึ่งสูตรคำนวณกำไรสะสมปลายปี เกิดจากการนำกำไรสะสมจากปีก่อนหน้ามาบวกกับกำไรสุทธิในรอบบัญชีปัจจุบัน และนำไปหักออกจากเงินปันผลที่จ่ายให้กับนักลงทุน (หากมี) ก็จะได้เป็นกำไรสะสมที่แสดงอยู่ในบรรทัดหนึ่งของส่วนทุนของเจ้ากิจการในบัญชีงบดุล(Balance Sheet)
สูตรหา ค่าเสื่อมราคาแบบตรง
ค่าเสื่อมราคาแบบตรง = (มูลค่าสินทรัพย์ – ค่าซาก) / จำนวนปีที่ใช้งาน
เมื่อกิจการนำเงินทุนมาลงทุนในรูปของ สินทรัพย์ระยะยาว เช่น เครื่องจักร สินทรัพย์ดังกล่าวจะต้องถูกคิดค่าเสื่อม ตามหลักการทางบัญชีด้วยสมมติฐานที่ว่า สินทรัพย์จะเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลามากกว่าการใช้งาน และการเสื่อมสภาพนั้นจะเป็นไปในอัตราที่เท่ากันทุกปี
ปริญญาตรี บัญชี นักบัญชี ที่ชอบทำบทความ รักการทำบทความมากว่า 20 ปี
รับทำบัญชี โทร.081-931-8341 (คุณจ๋า)
ข้อแตกต่าง บัญชีการเงิน บัญชีภาษีอากร?
5 สูตรบัญชีสำคัญ ที่คุณควรรู้ เบื้องต้น ทั้งหมด? Read More »
เมล็ดพันธุ์ กิจการค้า รายรับ รายจ่าย?
เสี่ยง! 2•บริษัทขนส่งสินค้า ไม่หักณที่จ่าย?
วิธีการตลาดสินค้าออนไลน์ รายได้ ความเสี่ยง?
งบการเงิน ใครคือ ผู้ใช้ และ จำเป็น ต้องรู้ อะไรบ้าง?
5 สูตรบัญชีสำคัญ ที่คุณควรรู้ เบื้องต้น ทั้งหมด? Read More »
รับติดตั้งป้ายไฟ ครอบคลุมธุรกิจบัญชี ภาษี ให้ความรู้ สำหรับธุรกิจของคุณ
จดทะเบียนบริษัท มีผลต่อ การขอรับ การสนับสนุน ใน การขับเคลื่อน เทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาธุรกิจหรือไม่?
อีเว้นท์ 2 ภาษี กิจการค้า รายรับ รายจ่าย?
ในเครือเซ็นทรัล กิจการค้า รายรับ รายจ่าย?