ค่าเสื่อมราคา

รับทำบัญชี.COM | อัตราค่าเสื่อมราคา 20% ต่อปีมีอะไรบ้าง?

Click to rate this post!
[Total: 160 Average: 5]

อัตราค่าเสื่อมราคา 20%

อัตราค่าเสื่อมราคา อัตราค่าเสื่อมเป็นการลดมูลค่าของทรัพย์สินหรือสินค้าในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งใช้ในการคำนวณค่าสินค้าคงเหลือหลังจากการใช้งานหรือการสภาพการใช้งานลดลง ค่าเสื่อมมากขึ้นเมื่อทรัพย์สินหรือสินค้าใช้งานมากขึ้น อัตราค่าเสื่อมเป็นส่วนหนึ่งของการบัญชีและการบริหารทรัพย์สิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินค่าสินทรัพย์ในงบการเงินของบริษัทและการจัดการทรัพย์สินในระยะยาว

มีหลายวิธีในการคำนวณค่าเสื่อม แต่วิธีที่ใช้มากที่สุดคือวิธีเสถียรภาพและการลดมูลค่าเสื่อมเป็นสัดส่วนคงที่ (Straight-Line Depreciation) และวิธีเสถียรภาพและการลดมูลค่าเสื่อมเป็นสัดส่วนตามหนึ่งหรือกลุ่ม (Declining Balance Depreciation) นี่คือวิธีการคำนวณค่าเสื่อมสำหรับแต่ละวิธี:

  1. วิธีเสถียรภาพและการลดมูลค่าเสื่อมเป็นสัดส่วนคงที่ (Straight-Line Depreciation):
    • ใช้สูตร: ค่าเสื่อม = (มูลค่าเริ่มต้น – มูลค่าส่งเสริม) / อายุการใช้งาน
    • มูลค่าเริ่มต้น คือ มูลค่าของทรัพย์สินหรือสินค้าในเวลาที่เริ่มใช้งาน
    • มูลค่าส่งเสริม คือ มูลค่าทรัพย์สินหรือสินค้าหลังจากคิดค่าเสื่อมไปแล้วในปีก่อนหน้า
    • อายุการใช้งาน คือ ระยะเวลาที่ทรัพย์สินหรือสินค้าถูกคาดหวังว่าจะใช้งานได้
  2. วิธีเสถียรภาพและการลดมูลค่าเสื่อมเป็นสัดส่วนตามหนึ่งหรือกลุ่ม (Declining Balance Depreciation):
    • ใช้สูตร: ค่าเสื่อม = (มูลค่าเริ่มต้น x อัตราค่าเสื่อม) / 100
    • อัตราค่าเสื่อม คือ ร้อยละของมูลค่าเริ่มต้นที่ต้องคิดค่าเสื่อมในปีนั้น ๆ

วิธีเสถียรภาพและการลดมูลค่าเสื่อมเป็นสัดส่วนคงที่เหมาะสำหรับการบัญชีที่มีการบันทึกค่าเสื่อมในงบบัญชีทุกปีเป็นจำนวนเท่ากัน ส่วนวิธีเสถียรภาพและการลดมูลค่าเสื่อมเป็นสัดส่วนตามหนึ่งหรือกลุ่มเหมาะสำหรับการบัญชีที่ค่าเสื่อมเพิ่มขึ้นในปีแรกและลดลงในปีต่อมา

ค่าเสื่อมที่คำนวณจะถูกบันทึกในงบบัญชีของบริษัทเป็นรายปีและมีผลต่อรายงานการเงินและการประเมินค่าสินทรัพย์ของบริษัทในเวลาที่กำหนด คุณควรปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับท้องถิ่นเมื่อคำนวณและบันทึกค่าเสื่อมของทรัพย์สินหรือสินค้าในธุรกิจของคุณเพื่อประโยชน์ของการบริหารทรัพย์สินและงบการเงินที่ถูกต้องและครบถ้วน

อัตราค่าเสื่อมราคาหรืออัตราการเสื่อมค่า (Depreciation Rate) เป็นอัตราที่ใช้ในการประเมินค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินต่าง ๆ ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ อัตราค่าเสื่อมราคาสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทหลัก คือ:

  1. อัตราค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง (Straight-Line Depreciation): แบบเส้นตรงคือการเสื่อมค่าทรัพย์สินในอัตราคงที่ในแต่ละปี โดยการคำนวณอัตราค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรงจะใช้สูตรง่าย ๆ คือ ราคาซื้อหักลดมูลค่าทรัพย์สินที่หักลดมูลค่าแล้ว หารด้วยอายุการใช้งานที่คาดว่าจะเสื่อมค่าได้ (ปี) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทรัพย์สินมีราคาซื้อเป็น 100,000 บาท และมีอายุการใช้งานที่คาดว่าจะเสื่อมค่าได้เป็น 5 ปี ตัวอย่างการคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรงในแต่ละปีจะเป็นดังนี้:

ปีที่ 1: 100,000 / 5 = 20,000 บาท
ปีที่ 2: 20,000 บาท
ปีที่ 3: 20,000 บาท
ปีที่ 4: 20,000 บาท
ปีที่ 5: 20,000 บาท

  1. อัตราค่าเสื่อมราคาแบบคงสภาพ (Declining Balance Depreciation): แบบคงสภาพคือการเสื่อมค่าทรัพย์สินในอัตราที่ลดลงเรื่อย ๆ ในแต่ละปี อัตราค่าเสื่อมราคาแบบคงสภาพสามารถกำหนดได้โดยใช้สูตรที่กำหนดโดยกฎหมายหรือนโยบายที่บริษัทกำหนดขึ้น โดยทั่วไปแล้วอัตราค่าเสื่อมราคาแบบคงสภาพจะสูงในช่วงแรกและลดลงในปีต่อๆ ไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าทรัพย์สินมีราคาซื้อเป็น 100,000 บาท และอัตราค่าเสื่อมราคาแบบคงสภาพเป็น 20% ต่อปี ตัวอย่างการคำนวณค่าเสื่อมราคาแบบคงสภาพในแต่ละปีจะเป็นดังนี้:

ปีที่ 1: 100,000 x 20% = 20,000 บาท
ปีที่ 2: (100,000 – 20,000) x 20% = 16,000 บาท
ปีที่ 3: (100,000 – (20,000 + 16,000)) x 20% = 12,800 บาท
ปีที่ 4: (100,000 – (20,000 + 16,000 + 12,800)) x 20% = 10,240 บาท
ปีที่ 5: (100,000 – (20,000 + 16,000 + 12,800 + 10,240)) x 20% = 8,192 บาท

ค่าเสื่อมราคาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอัตราการเสื่อมค่าอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทของทรัพย์สิน ควรปรึกษากฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องหรือพบคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหรือผู้คิดค้นระบบบัญชีในองค์กรของคุณเพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องสำหรับทรัพย์สินที่คุณมี

การคิด ค่าเสื่อมราคาวิธีคิดค่าเสื่อมราคา มีกี่วิธี

การคิด ค่าเสื่อมราคาวิธีคิดค่าเสื่อมราคา มีกี่วิธี

วิธีคิดค่าเสื่อมราคา 20% ต่อปี

หากคุณต้องการคิดค่าเสื่อมราคาในแบบคงสภาพที่อัตราการเสื่อมค่าเป็น 20% ต่อปี สามารถทำได้โดยใช้วิธีการต่อไปนี้:

  1. หากต้องการคิดค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินในปีที่เศษหารด้วย 1 คือ ปีที่เริ่มต้นใช้งาน ให้ใช้สูตรนี้: ค่าเสื่อมราคาในปีที่เริ่มต้น = ราคาซื้อ x อัตราการเสื่อมค่าตัวอย่าง: ถ้าทรัพย์สินมีราคาซื้อเป็น 100,000 บาท ค่าเสื่อมราคาในปีที่เริ่มต้น = 100,000 x 20% = 20,000 บาท
  2. สำหรับปีที่ตามหลังปีที่เริ่มต้นใช้งาน ให้ใช้สูตรนี้: ค่าเสื่อมราคาในปีต่อๆ ไป = (ราคาซื้อ – ค่าเสื่อมราคาในปีที่แล้ว) x อัตราการเสื่อมค่าตัวอย่าง: ถ้าในปีที่เริ่มต้นค่าเสื่อมราคาเป็น 20,000 บาท ค่าเสื่อมราคาในปีที่ 2 = (100,000 – 20,000) x 20% = 16,000 บาท ค่าเสื่อมราคาในปีที่ 3 = (100,000 – (20,000 + 16,000)) x 20% = 12,800 บาท

นำขั้นตอนที่ 2 มาทำซ้ำเพื่อคิดค่าเสื่อมราคาในปีต่อๆ ไปจนกว่าจะครบอายุการใช้งานที่กำหนดไว้หรือจนกว่าค่าเสื่อมราคาจะเป็นศูนย์ โดยในแต่ละปีค่าเสื่อมราคาจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไม่มีค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นอีกต่อไป

วิธีคิดค่าเสื่อมราคาต่อปี

วิธีคิดค่าเสื่อมราคาต่อปีในแบบคงสภาพ (Straight-Line Depreciation) คือการแบ่งจำนวนค่าเสื่อมราคาเท่าๆ กันในแต่ละปีที่กำหนด โดยใช้สูตรดังนี้:

ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ราคาซื้อ – มูลค่าสิ่งเสื่อมครอง) / อายุการใช้งานที่คาดว่าจะเสื่อมค่าได้ (ปี)

ตัวอย่าง: ถ้าทรัพย์สินมีราคาซื้อเป็น 100,000 บาท และมีอายุการใช้งานที่คาดว่าจะเสื่อมค่าได้เป็น 5 ปี

ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (100,000 – 0) / 5 = 20,000 บาท

ดังนั้น ค่าเสื่อมราคาในแต่ละปีจะเป็น 20,000 บาท จนกว่าจะครบรอบอายุการใช้งานทั้งหมด 5 ปี

คิดค่าเสื่อมราคาวิธีเส้นตรง

วิธีคิดค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง (Straight-Line Depreciation) เป็นการแบ่งจำนวนค่าเสื่อมราคาในแต่ละปีเท่าๆ กันจนกว่าจะครบรอบอายุการใช้งานที่กำหนด โดยใช้สูตรดังนี้:

ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ราคาซื้อ – มูลค่ารับคืน) / อายุการใช้งาน (ปี)

ตัวอย่าง: ถ้าทรัพย์สินมีราคาซื้อเป็น 100,000 บาท และมูลค่ารับคืนหลังจากการเสื่อมค่าเป็น 20,000 บาท และอายุการใช้งานที่กำหนดไว้คือ 5 ปี

ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (100,000 – 20,000) / 5 = 16,000 บาท

ดังนั้น ค่าเสื่อมราคาในแต่ละปีจะเป็น 16,000 บาท จนกว่าจะครบรอบอายุการใช้งานทั้งหมด 5 ปี

ค่าเสื่อมราคา มีอะไรบ้าง

ค่าเสื่อมราคาเป็นการลดมูลค่าของทรัพย์สินตามเวลาเนื่องจากการใช้งานหรือสภาพสิ่งของที่เสื่อมสภาพไป โดยมีรายการค่าเสื่อมราคาที่พบบ่อยได้แก่:

  1. ค่าเสื่อมราคาแบบเส้นตรง (Straight-Line Depreciation): เป็นวิธีคิดค่าเสื่อมราคาที่แบ่งค่าเสื่อมราคาเท่าๆ กันในแต่ละปี โดยใช้อัตราค่าเสื่อมราคาแบบคงที่ตลอดอายุการใช้งานที่กำหนด.
  2. ค่าเสื่อมราคาแบบคงสภาพ (Declining Balance Depreciation): เป็นวิธีคิดค่าเสื่อมราคาที่ใช้อัตราค่าเสื่อมราคาสูงสุดในปีแรกและลดลงในปีต่อๆ ไป โดยใช้เปอร์เซ็นต์ค่าเสื่อมราคาที่กำหนด.
  3. ค่าเสื่อมราคาแบบปริยัติ (Units-of-Production Depreciation): เป็นวิธีคิดค่าเสื่อมราคาที่พิจารณาจำนวนการใช้งานหรือการผลิตของทรัพย์สิน โดยคิดค่าเสื่อมราคาตามจำนวนหน่วยผลผลิตหรือการใช้งานจริงในแต่ละปี.
  4. ค่าเสื่อมราคาสะสม (Accumulated Depreciation): เป็นผลรวมของค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาการใช้งาน ซึ่งใช้ในการบันทึกหรือรายงานค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบัน.

ค่าเสื่อมราคาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าทรัพย์สินตามเวลา โดยการใช้วิธีคิดค่าเสื่อมราคาที่เหมาะสมสามารถช่วยในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ของธุรกิจหรือองค์กรได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล.

วิธีคิดค่าเสื่อมราคา เป็น เปอร์เซ็นต์

วิธีคิดค่าเสื่อมราคาเป็นเปอร์เซ็นต์สามารถทำได้โดยใช้สูตรดังนี้:

  1. ค่าเสื่อมราคา = ราคาซื้อ x เปอร์เซ็นต์ค่าเสื่อมราคา

ตัวอย่าง: ถ้าทรัพย์สินมีราคาซื้อเป็น 100,000 บาท และเปอร์เซ็นต์ค่าเสื่อมราคาที่กำหนดเป็น 10%

ค่าเสื่อมราคา = 100,000 x 10% = 10,000 บาท

ดังนั้น ค่าเสื่อมราคาในกรณีนี้จะเป็น 10,000 บาท

การคิด ค่าเสื่อมราคาวิธีคิดค่าเสื่อมราคา มีกี่วิธี

การคิดค่าเสื่อมราคาเป็นเปอร์เซ็นต์เป็นวิธีที่ใช้ง่ายและสามารถประยุกต์ใช้กับทรัพย์สินในลักษณะที่มีการเสื่อมสภาพเป็นค่าเปอร์เซ็นต์แบบเส้นตรง อย่างได้เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการคิดเสื่อมราคาเป็นเปอร์เซ็นต์อาจไม่เหมาะสมกับทรัพย์สินที่มีลักษณะการเสื่อมสภาพที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตามเวลา เช่น อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานที่ไม่แน่นอน หรือสินทรัพย์ที่มีการเพิ่มมูลค่าเข้ามาเติมเต็มในอนาคต ในกรณีเช่นนี้ อาจต้องใช้วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นเพื่อประเมินค่าเสื่อมราคาที่ถูกต้อง ควรปรึกษากฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญทางการเงินเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและแนะนำในกรณีพิเศษเหล่านี้

การหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาตามวิธี Initial Method หรือการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้น ณ วันที่ได้รับทรัพย์สินนั้นมามีหลักเกณฑ์ดังนี้

การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามวิธี Initial Method หรือการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้น ณ วันที่ได้รับทรัพย์สินนั้นมา เป็นวิธีผสมผสานวิธีหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาตามวิธีปกติเข้ากับหลักเกณฑ์พิเศษที่ยอมให้หักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาในทันทีที่ได้รับทรัพย์สินนั้นมา

โดยที่ยังไม่ต้องมีการใช้ทรัพย์สินจำนวนหนึ่งก่อน ซึ่งมักกำหนดเป็นอัตราร้อยละของมูลค่าต้นทุนที่ได้มาซึ่งทรัพย์สินนั้น เช่น ร้อยละ 40 ของมูลค่าต้นทุน หมายความว่า ณ วันที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับทรัพย์สินนั้นๆ มา และทรัพย์สินนั้นพร้อมที่ใช้งานได้แล้ว

กฎหมายยอมให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา เบื้องต้น ณ วันที่ได้รับทรัพย์สินนั้นมาได้ทันทีร้อยละ 40 ของมูลค่าต้นทุน (สมมติ 1,000,000 บาท) ก็จะได้จำนวนค่าเสื่อมราคาตามวิธี Initial Method ในวันที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาจำนวน 400,000 บาท สำหรับมูลค่าต้นทุนส่วนที่เหลืออีก 600,000 บาท ให้นำไปหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามวิธีปกติเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีต่อไป

หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการหักค่าเสื่อมราคา

+++ สำหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการหักค่าเสื่อมราคา (จากประมวลรัษฎากร)…มีดังนี้ +++
– ทรัพย์สินทุกประเภทของกิจการโดยสภาพของทรัพย์สินนั้นมีการสึกหรอเสื่อมราคาได้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลย่อมนำมาหักค่าสึกหรอค่าเสื่อมราคาเพื่อถือเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีได้ นอกจากที่ดินและสินค้ากฎหมายห้ามมิให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา

– เมื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาโดยใช้วิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไปและอัตราที่จะหัก อัตราการหัก

– การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ให้คำนวณหักตามระยะเวลาที่ได้ทรัพย์สินนั้นมาในรอบระยะเวลาบัญชี ในกรณีที่รอบระยะเวลาบัญชีไม่เต็ม 12 เดือน ให้เฉลี่ยหักตามส่วนสำหรับบัญชีนั้น

– ทรัพย์สินประเภทรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคน หรือรถยนต์นั่ง ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุนเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1,000,000 บาท สำหรับมูลค่าต้นทุนทิ่เกิน 1,000,000 บาท จะนำมาหักไม่ได้ ( ไม่ว่าจะซื้อราคาที่สูงกว่า 1 ล้านบาท เช่น 2 ล้าน หรือ 10 ล้าน ก็สามารถคำนวณเป็นค่าสึกหรอได้สูงสุดที่ 1 ล้านบาท ให้คิดเฉลี่ยเพียงปีละ 20% )

การคิด ค่าเสื่อมราคาวิธีคิดค่าเสื่อมราคา มีกี่วิธี

การหักค่าเสื่อมราคา อัตราใด วิธีใดดี

เมื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีการซื้อสินทรัพย์เข้ามาใช้งานภายในกิจการ เพื่อเป็นการสนับสนุนการทำงานให้สะดวกสบายและรวดเร็วยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นอาคาร เครื่องใช้สำนักงาาน ยานพาหนะ เครื่องจักร เมื่อสินรอบระยะเวลาบัญชีกิจการจะต้องคิดค่าเสื่อมราคาและค่าสึกหรอของสินทรัพย์ ซึ่งตามหลักของบัญชีการคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์มีหลายวิธีในการคิดด้วยกัน หารหักค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์จะถือเป็นค่าใช้จ่ายมในการดำเนินงาน เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่กอนอื่นเรามาทราบความหมายของค่าเสื่อมราคาดังนี้ ค่าเสื่อมราคา คือ ส่วนของสินทรัพย์ถาวรของกิจการเมื่อกิจการได้ซื้อหรือนำเข้ามาใช้ในกิจการแล้วมีการเสื่อมสภาพหรือมูลค่า ลดลง กิจการต้องตัดส่วนนั้นเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละรอบระยะบัญชี เมื่อแสดงมูลค่าของสินทรัพย์ถาวรตามสภาพที่แท้จริงในแต่ละงวดบัญชี หรือเป็นการปรับส่วนของมูลค่าที่เสื่อมสภาพในสินรัพย์โดยโอนไปเป็นค่าใช้จ่ายตลอกอายุการใช้งานของสินทรัพย์นั้นตามระยะเวลาที่กิจการคาดหมายว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ การคิดค่าเสื่อมราคาเป็นการตีราคามูลค่าของสินทรัพยืที่เสื่อมสภาพส่วนที่ตัดเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีตลอดอายุการใช้งานที่ได้ประมาณการไว้ สินทรัพย์ที่มีการเสื่อมสภาพจะประกอบด้วยสินทรัพย์ที่

– คาดว่าจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี และ

– มีอายุการใช้งานจำกัด และ

– กิกจารมีไว้เพื่อใช้ในการผลิต ในการขายสินค้าและบริการ ให้เช่า หรือใช้ในการบริหารงาน หลักเกณฑ์การหักค่าเสื่อมราคาสำหรับสินทรัพยืไม่ว่ากรณีใด จะหักจนหมดมูลค่าต้นทุนของสินทรัพย์นั้นไม่ได้ เป็นประเด็นเงื่อนไขที่สำคัญมีดังนี้ การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อราคา หลักเกณฑ์การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน

เพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ เมื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้เลือกใช้วิธีการทางบัญชีทีได้รับรองโดยทั่วไป และอัตราที่ได้หักอย่างใดแล้ว ให้ใช้วิธีการทางบัญชีและอัตรานั้นตลอดไป เว้นแต่จะได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากร หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายและให้ถือปฏิบัติตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับอนุมัตินั้น

โดยปกติแล้วการคำนวณหักค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ในทางบัญชีไม่มีกำหนดอัตราค่าเสื่อมราคาเอาไว้ แต่จะใช้วิธีการประมาณการอายุการใช้งานว่าสินทรัพย์นั้นจะมีอายุการใช้งานกี่ปี แต่ทั้งนี้ขึ้นอยุ้กับวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคาด้วย ส่วนใหญ่กิจการโดยทั่วไปจะนิยมใช้วิธีการคิดค่าเสื่อมราคาด้วยใวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราคงที่ “ตามวิธีเส้นตรง” การคิดค่าเสื่อมราคาวิธีการนี้เหมาะกับสินทรัพย์ที่มีการเสื่อมสภาพไปตามระยะเวลามากกว่าเสื่อมสภาพเพราะการใช้งาน แต่เป็นการเสื่อมสภาพเท่ากันทุกปี ซึ่งสินทรัพย์ที่จะเสื่อมสภาพเท่ากันทุกปีมักไม่ได้เกิดขึ้นในทุกกิจการมากนัก หลักเกณฑ์ที่จะต้องคำนึงถึง คือ

  1. มีดอกเบี้ยหรือต้นทุนของเงินมีค่าเท่ากับศูนย์
  2. ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบำรุงรักษามีจำนวนเท่ากัน
  3. ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากันตลอดอายุการใช้งาน
  4. สามารถคาดคะเนประมาณการเรื่องต่างๆ รวมทั้งอายุการใช้งานได้ อย่างสมเหตุ สูตร ในการคำนวณแบบวิธีเส้นตรง ค่าเสื่อมราคา = ราคาทุน – ราคาซาก/(หารด้วย) อายุการใช้งาน (ปี) อัตราค่าเสื่อมราคาตามประมวลรัาฏากร ในทางบัญชีไม่ได้กำหนดอัตราค่าเสื่อมราคาเอาไว้ เพียงแต่ใช้วิธีการประมาณอายุการใช้งานแทนอย่างไรก้ดีตามประมวลรัาฏากรได้กำหนดอัตราค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาไว้ว่า การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินให้คำนวณหักตามระยะเวลาที่ได้สินทรัพย์นั้นมาในแต่ละรอบบัยชีนั้น ในกรณีที่รอบระยะเวลาบัญชีไม่เต็ม 12 เดือน ให้เฉลี่ยตามส่วนสำหรับระยะเวลาบัญชีนั้น ทั้งนี้ ไม่เกินอัตราร้อยละของมูลค่าต้นทุนตามประเภทของทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้
  5. อาคาร อาคารถาวร ร้อยละ 5 อาคารชั่วคราว ร้อยละ 100
  6. ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สูญสิ้นไปได้ ร้อยละ 5
  7. ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิการเช้า กรณีไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หรือมีหนังสือสัญญาเช่าที่มีข้อกำหนดให้ต่ออายุการเช่าได้ โดยเงื่อนไขในการต่ออายุนั้นเปิดโอกาสให้ต่ออายุการเช่ากันได้ต่อๆ ปี ร้อยละ 10 กรณีมีหนังสือสัญญาเช่าที่ไม่มีข้อกำหนดให้ต่ออายุการเช่าได้หรือมีข้อกำหนดให้ต่ออายุ การเช่าได้เพียงระยะเวลาอันจำกัดแน่นอน ร้อยละ 100 หารด้วย จำนวนปีอายุการเช่าและ อายุที่ต่อได้รวมกัน
  8. ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิในกรมวิธี สูตร กู๊ดวิลล์ เครื่องหมายการค้า สิทธิประกอบกิจการตาม ใบอนุญาต สิทธิบัตร สิทธิิ์หรือสิทธิอย่างอื่น -กรณีไม่จำกัดอายุการใช้ ร้อยละ 10 -กรณีจำกัดอายุการใช้งาน ร้อยละ 100 ด้วยจำนวนปีอายุการใช้
  9. ทรัพย์สินอย่างอื่น ซึ่งโดยสภาพของทรัพยืสินนั้นสึกหรอหรือเสื่อมราคาได้นอกจากที่ดินและสินค้า ร้อยละ 20

เครื่องพรินเตอร์ ตัดค่าเสื่อมในอัตรา 33.33% ได้หรือไม่

ได้ค่ะ อายุการใช้งาน 3 ปี ถือว่าเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร